คณะพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล ประกอบพิธีบุญสารทเดือนสิบ อุทิศบุญส่งตา-ยาย ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ – พุทธคยา ประเทศอินเดีย

วันเสาร์ที่ ๒๐ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระเดชพระคุณฯ พระพรหมวชิรโพธิวงศ์ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยพระโพธิวิเทศวชิโรดม เจ้าอาวาสวัดพระรามอโยธยา-อินเดีย รองโฆษกพระธรรมทูต สายประเทศอินเดีย-เนปาล เลขานุการเจ้าสำนักเรียนวัดไทยพุทธคยา ประกอบพิธีบุญสารทเดือนสิบ โดยมีพระสงฆ์ ๒๓ รูป สวดพระพุทธมนต์ สมโภชน์ หมฺรับ และข้าวมธุปายาส พร้อมด้วยบริวาร เสร็จแล้วสวดมาติกาบังสกุล เพื่ออุทิศให้ผู้ล่วงลับ เนื่องในเทศกาลวันสารทเดือนสิบ ประจำปี ๒๕๖๘ ณ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
โดยในปีนี้ได้จัดหมฺรับ จำนวน ๓ ชุดใหญ่และ ๔ ชุดเล็ก ประกอบด้วยขนม ๕ อย่าง ได้แก่ ๑. ขนมพอง ๒. ขนมลา ๓. ขนมกง (ขนมไข่ปลา) ๔. ขนมบ้า ๕. ขนมดีซำ และขนมกระยาสารท ผลไม้ และอื่นๆ
 
การทำบุญวันสารทเดือนสิบ
 
ประเพณีสารท เป็นประเพณีที่คนไทยทั่วทุกภาคให้ความสำคัญ ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ เรียกว่า วันชิงเปรต ตรงกับวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวพื้นเมืองเชื่อว่า “วันสารท” เป็นวันสุดท้ายของการทำบุญครบสมบูรณ์ตามประเพณี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๘ โดยจะมีการทำพิธีบังสุกุลกระดูกเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษญาติมิตรผู้ล่วงลับไป ถือเป็นวันสุดท้ายของงานบุญใหญ่ ใครมีอาหารมีสิ่งใดที่จะทำบุญก็มาทำให้หมดในวันนี้ จึงถือเป็นสำคัญอีกวันหนึ่ง เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปเมืองนรก ที่ต้องกลับลงนรก คือเพราะเศษกรรมนั้น ยังไม่หมดสิ้น ยังต้องได้รับผลกรรมสืบไปอยู่ จึงจะเปลี่ยนภพภูมิลงได้
 
พุทธศาสนิกชนนิยมไปทำบุญ ณ วัดที่เป็นภูมิลำเนาของตนเพื่อร่วมพิธีตั้งเปรตและชิงเปรต โดยอาจสับเปลี่ยนกันไปทำบุญ ณ ภูมิลำเนาของฝ่ายบิดาครั้งหนึ่งฝ่ายมารดาครั้งหนึ่ง จึงทำให้ผู้ที่ไปประกอบอาชีพจากถิ่นห่างไกลจากบ้านเกิด ได้มีโอกาสกลับมาพบปะสังสรรค์และรู้จักวงศาคณาญาติเพิ่มขึ้น
 
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุโมทนาด้วยพระคาถาอันปรากฏใน “ติโรกุฑฑสูตร” ตอนหนึ่งว่า
 
“อทาสิ เม อกาสิ เม ญาติมิตฺตา สขา จ เม เปตานํ ทกฺขิณํ ทชฺชา ปุพฺเพ กตมนุสฺสรํ ฯ”
“บุคคลมาระลึกถึงอุปการะที่ท่านผู้นี้ได้ทำให้แก่ตนในกาลก่อนว่า ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้ทำกิจของเรา ผู้นี้เป็นญาติ เป็นมิตร เป็นเพื่อนของเรา ควรให้ทักษิณาทานเพื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว”
 
โดยความหมายนั้นคือ “เราควรระลึกถึงบุญคุณผู้ที่เคยมีอุปการคุณ อันได้แก่ บิดา มารดา หรือญาติมิตรผู้ล่วงลับ และควรได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่หมู่ญาติมิตรนั้นๆ โดยการให้ทักษิณาทาน”